ขันหมากไม้ ความงามในจารีตวิถี


ขันหมากไม้ ความงามในจารีตวิถี

“ขันหมาก” หรือ “เชี่ยนหมาก” คือภาชนะสำหรับวางอุปกรณ์ในการกินหมาก ได้แก่
ซองพลู( กลักพลู )เต้าปูน ( โบกปูน /บอกปูน ) กรรไกรหนีบหมาก(มีดสะนาก)
ตะบันหมาก ( โบกหมาก ) ตลับสีผึ้ง ( แอบนวด ) จอกหมาก ที่ใช้ใส่หมาก กลักยาเส้น ( แอบยาเส้น )

วัฒนธรรมการกินหมากในสยามประเทศ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล
สันนิษฐานว่ารับอิทธิพลมาจากพ่อค้าชาวอินเดีย และในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1 (สมัยสุโขทัย)
กล่าวถึงป่าหมาก ป่าพลู แสดงให้เห็นความสำคัญของการปลูกหมากพลู วัฒนธรรมการกินหมากจึงน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ขันหมากทำจากวัสดุหลายประเภท เช่น ทอง เงิน ทองเหลือง ไม้ เครื่องเขินหรือเครื่องจักสานมีลักษณะหลากหลายรูปแบบทั้ง ทรงกลมแบน ทรงรี หรือทรงเหลี่ยม


เป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนที่มีความสำคัญ แต่ละบ้านจะใส่เครื่องกินหมากที่จัดเรียงอย่างประณีตไว้ต้อนรับแขก
และยังใช้ในพิธีแต่งงานโดยฝ่ายเจ้าบ่าวต้องนำขันหมากยกไปสู่ขอเจ้าสาว และในสมัยก่อนขันหมากยังเป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคมของเจ้าของอีกด้วย

.
ในอีสาน “ขันหมาก” จะพบกัน ทั่วไป ในหมู่บ้าน หรือชุมชน อีสาน จากการสอบถาม คนเฒ่า คนแก่ ในชุมชนก็ได้ความว่า
สมัยก่อน พระสงฆ์นิยมทำขันหมากแบบนี้ไว้ ในยามว่างเว้นจากการ ศึกษาพระธรรมวินัย ทำเอาไว้ใช้ ตอน สึกลาสิขาออกมาในเพศฆราวาส
ใช้ในพิธีสู่ขอกินดอง ในงานมงคลของตน ( ธรรมเนียมผู้ชายอีสานต้องบวชก่อนที่จะออกเรือน เพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ )
บางคนบวชเรียนกับช่างฝีมือ ที่เป็นนายช่างใหญ่ เป็นช่างไม้ ช้างปั้น ช่างปูนก็ได้วิชา ติดตัวออกมาก็มี
จึงทำให้ การทำขันหมาก เป็นที่นิยมกันในหมู่ช่างพระ ในเวลาต่อมาเมื่อพระภักษุเหล่านั้นลา สิกขาออกมาก็ได้นำเอาวิชาความรู้เหล่านั้น
มาใช้ประกอบเป็นอาชีพเสริมหลังการทำนา ทำขายในหมู่บ้าน แลกข้าวก็มี ถึงได้พบขันหมากรูปแบบเดียวกัน ฝีมือเหมือนกัน
วัสดุเหมือนกัน 3-4 อัน ในหมู่บ้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะมีความต่างเล็กน้อย เราสามารถ เทียบเคียงได้ จากหลักฐานที่พบ

.


กล่าวกันว่าขันหมากอีสานเป็นงาน ฝีมือของผู้ชาย ส่วนผู้หญิงก็จะต่ำหูก(ทอผ้า) จะเห็นได้ว่า ขันหมากนอกจากนี้ยังพบว่ามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง
ในวัฒนธรรมลาวชาวอีสานเรียกว่า ” ขันสลา “โดยคำว่าสลา หมายถึง หมากเป็นภาษาเขมรดัง ปรากฏอยู่ในผญาว่า
.

” ค่อยอยู่ดีเยอขันสลาพร้อมซองพลู แอบหมาก กูจักหนีไปตายผู้เดียวยาเศร้า…”
ขันหมากอีสาน มีอยู่หลายแบบ โดยมีทั้งแบบทรงกลมอย่างทรงกระบอกแบบนี้เรียก
” ขันตีนช้าง ” ซึ่งลักษณะคล้ายๆ ทรงกระบอก มีคิ้ว บางที่มีลิ้นหรือช่องแบ่ง

นิยมทำด้วยไม้ กาบก้านลาน นำมาฝาน แล้วขด ขึ้นรูป ลงรัก และชาดแดง บางที่ ประดับลายแกะ ด้วยผิวไม้ไผ่ หรือ ประดับกระดูกซี่โครงควาย
และใช้แผ่นสังกะสี ตัดเป็นลวดลาย ติดประดับ แทนนอกจาก ทรงกลม ( ขันหมากตีนช้าง ) แล้ว

.

ขันหมากอีสานยังมี 2 แบบ คือทรงกล่องสี่เหลี่ยม และทรงแอวขัน (เอว) มีส่วนประกอบ 4 ส่วน ได้แก่
1. ปากหรือส่วนบน บางที่เรียก “โบกหงาย”  แบ่งช่องเป็น 3-4 ช่อง อาจน้อยกว่าหรือมากกว่านั้นก็ได้
บางชิ้นประดับกระดูกซี่โครงควายหรือโลหะสังกะสีที่ขอบปากเพื่อความงามและทนทาน

2. ตัวขัน มีลักษณะเป็นแผ่นไม้ทรงสี่เหลี่ยม แกะสลักลวดลายเหมือนกันทั้ง ๔ ด้านหรือแตกต่างกันทั้ง ๔ ด้าน ตามความคิดสร้างสรรค์ของช่างฝีมือ
3. แอวขัน (เอว) เป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างลำตัวและขา ส่วนมากไม่มีการตกแต่งมีบางตัวเท่านั้นที่ใส่คิ้วเดินรอบ บางตัวมีการเจาะช่องใส่ลิ้นชักด้วย
4. ขา ( โบกคว่ำ ) มีการเจาะเป็นช่องหรือฉลุเป็นรูปขา หรือแค่สลักลายเป็นรูปขา


ลวดลายของขันหมาก ส่วนมากเป็นลายเรขาคณิต เช่น ลายฟันปลา ( แข้วหมา ) ลายประเเจจีน

และลวดลายตามความนึกคิดของช่าง หรือ ลายอันเป็นศิริมงคล เครื่องหมายสวัสดิกะ (ลายประแจจีน)
ที่หมายถึงความเป็นอยู่ที่ดี ลายเส้นสายไขว้กันคล้ายเครื่องจักสาน ลายดอกไม้ หรือลวดลายตามจินตนาการของช่าง

สีของขันหมากส่วนมาก จะลงรักเป็นสีดำ ทาชาด (สีแดง) มีการแกะสลักลวดลาย แล้วลงสีในร่องลาย นิยมใช้สีขาว สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการประดับลวดลายด้วยกระดูกซี่โครงควาย เปลือกหอยน้ำจืด กระจกสี และโลหะสังกะสี หรือบางตัวปรากฏเพียงแค่ลวดลายแกะสลักเท่านั้น

.
ขันหมากไม้อีสาน เป็นภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษได้คิดประดิษฐ์ขึ้น มีรูปแบบศิลปกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
เต็มไปด้วยความงามแบบเรียบง่าย ความทนทานและความพิถีพิถันตั้งแต่การเลือกไม้ การประดับลวดลายต่าง ๆ
แต่ละชิ้นงานแสดงให้เห็นถึงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของช่างแต่ละบุคคลที่พอจะกล่าวได้ว่า “ขันหมากไม้อีสาน”
แต่ละชิ้นสะท้อนฝีมือ ของช่างพื้นบ้าน แต่ละคน แต่ละ ชุมชน
ได้เป็นอย่างดี เสมอผลงานแต่ละชิ้น มีเพียงชิ้นเดียวในโลกก็ว่าได้


ขอบคุณที่มา : https://shorturl.asia/YCXwH