บนรถตู้ระดับ VIP ที่กำลังแล่นไปบนเนินเขา จุดมุ่งหมายของรถตู้คันนี้คือหมู่บ้านกะเหรี่ยง ระหว่างทางตัวข้าพเจ้าก็หลับบ้างตื่นบ้างเพราะอิ่มมาก ๆ จากอาหารกลางวันที่แสนอร่อยจากผู้ใหญ่ใจดี รถตู้ค่อย ๆ วิ่งขึ้นเขามาเรื่อย ๆ เลี้ยวไปทางซ้ายทีทางขวาที เรียกได้ว่าแทบจะอ้วกเหมือนกัน เพราะอาหารที่กินมามันปนกันทั่วท้องไปหมดแล้ว อีกทั้งทางขึ้นก็มีแต่หลุม ช่างเหมาะกับการนวดตัวจริง ๆ พอรถตู้ขับมาได้สักพักใหญ่ ๆ ก็เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาแล้วขับตรงเข้าไป สายตาข้าพเจ้าเหลือบเห็นป้ายบอกชื่อหมู่บ้าน คือหมู่บ้านห้วยแห้ง หมู่ที่ ๙ ตำบลขะเนจื้อ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก รถตู้วิ่งต่อไปเรื่อย ๆ สักพักหนึ่งเริ่มมองเห็นบ้านคน มองเห็นเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เด็ก ๆ เห็นรถตู้ผ่านมาก็พากันวิ่งตามรถตู้ขึ้นมาบนเขา ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พวกเด็ก ๆ อาศัยอยู่
รถตู้วิ่งมาถึงที่หมายแล้ว ขณะข้าพเจ้าก้าวลงจากรถ สิ่งแรกที่เห็นคือครอบครัวกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนบ้าน มองไปรอบ ๆ เห็นเด็ก ๆ ที่วิ่งตามรถตู้มาวิ่งเล่นกันอยู่ และดูเหมือนว่า เด็ก ๆ กลุ่มนี้จะสงสัยว่าพวกเรามาทำอะไรที่หมู่บ้านของเขา ข้าพเจ้าเดินลงจากรถแล้วเดินออกมาดูเด็ก ๆ ที่บริเวณหลังรถ เด็ก ๆ บางคนใส่เสื้อผ้าที่เหมือนกันกับที่พวกเราใส่ แต่เด็ก ๆ บางคนใส่ชุดที่บ่งบอกถึงความเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยง เสื้อผ้าที่สวมใส่มีสีสันสดใสเหมาะสมกับวัยของพวกเขา ดูแล้วสวยงามมาก และที่สำคัญข้าพเจ้าคิดว่าชุดที่เด็ก ๆ ใส่ยังเป็นสีสันให้กับหมู่บ้านอีกด้วย
เมนูอาหารจากบ้านป่า
อาหารที่ชาวบ้านจะสาธิตให้เราดูมีอยู่ ๓ อย่าง คือ แกงหนู ซ่ามะเขือ และน้ำพริกน้ำปู ในส่วนของหน้าตาอาหารที่มองจากในหม้ออาจจะคล้าย ๆ กับบ้านเราทำกิน แต่ขั้นตอนการทำแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ในที่นี้ขอยกตัวอย่างมา ๑ อย่าง นั่นก็คือ การทำแกงหนู เพื่อให้เราได้รู้วิธีการทำกับข้าวของชาวกะเหรี่ยงกันสักนิด แกงหนูแค่ชื่อก็น่ากินแล้ว
โดยส่วนตัวข้าพเจ้าเองก็ชอบที่จะกินหนูเป็นชีวิตจิตใจ เพราะหนูนาอร่อยและมันมาก แต่ขอบอกเลยว่า ข้าพเจ้ามาเจอหนูที่ชาวบ้านนำมาทำกับข้าวแล้วข้าพเจ้าแอบกลัวการกินหนูจริง ๆ เพราะหนูที่ชาวบ้านนำมาทำอาหารนั้น ชาวบ้านจะต้องนำหนูที่ได้ไปเผาไฟให้ไหม้จนหนูเกรียมเสียก่อน ใช่แล้ว ต้องเผาหนูให้ไหม้เกรียมเสียก่อน ชาวบ้านย้ำว่าหนูต้องเกรียมจริง ๆ เพราะจะกินได้ทั้งตัวแบบไม่ต้องคายกระดูกทิ้ง อื้อหือ! อร่อยแน่ ๆ งานนี้

ข้าพเจ้ามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชื่อว่านายแสงเมือง มูลกันทา จึงพอได้รู้ข้อมูลคร่าว ๆ ของหมู่บ้านนี้ ว่าชาวบ้านเขาเป็นอยู่กันอย่างไร หมู่บ้านห้วยแห้งนี้มีรายได้แค่สองทางคือเงินจากกองทุนหมู่บ้านและเงินที่ได้จากการปลูกพืชในไร่ขาย อีกส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการออกไปรับจ้างในตัวเมืองหรือไปรับจ้างที่อื่น หากปีใดที่ฝนแล้ง น้ำไม่มีปีนั้นชาวบ้านจะค่อนข้างลำบาก เนื่องจากรายได้ไม่พอใช้จ่าย และอาจจะมีชาวบ้านบางคนที่ไปกู้เงินจากนายทุนข้างนอก อาหารการกินก็เหมือนกับที่เรากินกัน แต่อาจจะใช้วัตถุดิบหรือเครื่องปรุงที่ต่างกัน อย่างเช่น การทำแกงชาวบ้านจะใส่เกลือกับน้ำ เพื่อใช้แทนน้ำปลา

เดินตามไกด์…จำเป็น

“ใกล้แล้ว ๆ อีกนิดนึงครับ”
เป็นบทสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าพเจ้าได้ถามไกด์นำทาง เนื่องจากทางที่เดินออกมาเป็นทางโล่ง ๆ และมีถนนตัดผ่าน
“ต้องเดินขึ้นไปอีกนิดนึงนะ”
เสียงของมานพพูดขึ้นมา เราทุกคนก็ยังคงเดินตามมานพต่อไป หลังจากที่เดินขึ้นมาบนถนนแล้ว จะมีสระน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก ข้าพเจ้าคิดว่าสระน้ำนี้ต้องเป็นประโยชน์อะไรกับชาวบ้านแน่ ๆ มีเด็กสองคนกำลังเล่นน้ำอยู่ในสระ อากาศในตอนนั้นกำลังดี หากข้าพเจ้าลงไปเล่นด้วยได้ก็คงจะดีไม่น้อย ^_^ เดินขึ้นมาอีกไม่นานก็เจอกับโบสถ์ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า ตรงนี้คือวัด แต่เปล่าเลย วัดจะต้องขึ้นไปอีก ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าเลือกที่จะเดินกลับมากกว่า
โบสถ์ที่ข้าพเจ้าเห็น เป็นเหมือนกับบ้านคนธรรมดา ๆ ซึ่งอาจจะมีอะไรที่แตกต่างกันไปบ้าง เพื่อบ่งบอกว่าที่นี่คือโบสถ์คริสต์ บริเวณข้างหน้าโบสถ์จะมีบ่อน้ำ เป็นบ่อน้ำแบบโบราณที่ต้องใช้แรงโยกจึงจะได้ใช้น้ำ ข้าพเจ้าอยากเห็นว่าข้างในโบสถ์จะเป็นอย่างไร แต่วันที่ข้าพเจ้าไป โบสถ์เขาปิดไว้ ภายหลังจากที่เดินดูบริเวณหน้าโบสถ์ได้สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เดินออกมาด้านนอก มานพถามว่าอยากจะขึ้นไปดูวัดที่อยู่ข้างบนไหม ข้าพเจ้าตอบอย่างมั่นใจเลยว่า “ไม่” ดีกว่า แต่มีเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งที่เดินตามมานพขึ้นไปด้านบน เพื่อขึ้นไปดูวัดของหมู่บ้านกะเหรี่ยง ว่าแตกต่างหรือเหมือนกับเราอย่างไร
ข้าพเจ้านั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้กับเพื่อนและพี่อีก ๓ คน ไม่นานก็มีผู้ร่วมทริปขี่รถจักรยานยนต์ที่หยิบยืมมาจากคนในหมู่บ้านมาตามพวกเราลงไปข้างล่าง บอกว่าจะกลับกันแล้ว พวกเราทั้ง ๔ คน จึงพากันเดินลงมาจากเนินเขาที่ขาไปคิดว่าไกลและเหนื่อยมาก แต่พอขากลับลงมาถึงที่จอดรถในเวลาไม่กี่นาที ข้าพเจ้าเดินลงถึงรถตู้ เจอเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งประมาณ ๑๐ คน กำลังวิ่งเล่นกันอยู่บริเวณลานกว้างที่ใช้ทำเป็นที่สาธิตการทำอาหาร จึงเรียกเด็ก ๆ มาถ่ายรูปด้วย เพราะข้าพเจ้าอยากได้ความทรงจำที่เป็นภาพนิ่งเก็บไว้เป็นที่ระลึก เด็กทุกคนยิ้มสู้กล้องกันหมด จนข้าพเจ้าเองก็คิดว่าเด็ก ๆ น่าจะชอบการถ่ายรูปมาก ๆ
กระต๊อบโบราณและสีสันจากการแต่งกาย

มีช่วงหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับ นายแสงเมือง มูลกันทา ก่อนหน้านี้เรื่องความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และข้าพเจ้าขอยกคำพูดของนายแสงเมืองที่เคยพูดไว้เกี่ยวกับลักษณะการสร้างบ้านในแบบของกะเหรี่ยงโบราณว่า
“เมื่อก่อนการสร้างบ้านแบบเดิมของกะเหรี่ยงจะเป็นบ้านไม้ ลักษณะการสร้างจะนิยมสร้างเป็นบ้านยกพื้นสูง มีชานบ้าน หลังคาทำจากใบไม้ที่หาได้ตามพื้นที่ที่อาศัย นำมามัดต่อ ๆ กัน ไม้ที่นำมาสร้างบ้านก็หาตัดตามในป่า เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีแล้ว มีหลังนั้นแหละที่เหมือนบ้านกะเหรี่ยงโบราณมากกว่าหลังอื่น (ชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง)”
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ว่าทำไมคนกะเหรี่ยงสมัยก่อนจึงอาศัยอยู่ในบ้านแบบเดิมได้โดยผ่านทั้งลมฟ้าลมฝน แต่สมัยนี้ลมฟ้าลมฝนดูเหมือนจะมีอิทธิพลมากขึ้น เพราะชาวบ้านต้องซ่อมแซมบ้านเรือนขึ้นมาใหม่ เพื่อตั้งรับกับแรงลม หรือถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว บ้านบางหลังมุงหลังคาโดยใช้กระเบื้อง บางหลังใช้สังกะสี และก็ยังมีบ้านอีกหลาย ๆ หลังที่ยังคงสภาพหลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าหรือใบไม้ จึงนับว่าเหลือน้อยลงเข้าไปทุกทีแล้วกับวิถีชีวิตของชาวบ้านห้วยแห้ง
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็นคือ ยังไม่มีการสร้างบ้านด้วยปูน นั่นหมายความว่าชนเผ่ากะเหรี่ยงกลุ่มนี้ยังคงความเป็นพื้นบ้านพื้นเมืองของกะเหรี่ยงอยู่ หลาย ๆ หลังคาเรือนที่สร้างบ้านแบบยกสูงแล้วมีบันไดบ้านขึ้นอย่างสะดวกติดกับตัวบ้านอย่างถาวร แต่ก็ยังมีบางหลังที่เป็นบ้านยกสูงแล้วใช้บันไดขึ้นบ้านชั่วคราว พอตกกลางคืนก็นำบันไดขึ้นไปไว้บนบ้าน

นี่เรากำลังจะกลับแล้วจริง ๆ เหรอ ไม่อยากกลับแล้ว อยากเดินดูรอบๆหมู่บ้าน ที่เราไปนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของหมู่บ้านเท่านั้นเอง อยากลองนอนอยู่ที่หมู่บ้านนี้สักวันหนึ่ง อยากรู้ว่าเขาใช้ชีวิตแบบไหนกันบ้าง เด็ก ๆ น่ารักมาก วิ่งเล่นกัน หยอกล้อกัน วิ่งขูดรถตู้ ยิ้มให้กล้อง แล้วพูดคุยกันเป็นภาษากะเหรี่ยง ข้าพเจ้าอยากจะเข้าไปคุยด้วยแต่คงจะไม่รู้เรื่อง ได้แค่มองดูเด็ก ๆ เขาเล่นกัน อยากอยู่ที่นี่ต่อจริง ๆ นะ แต่…ท้องเราก็หิวแล้วซะด้วยสิ
จะกลับกันแล้วแต่…..อีก ๒ คนหายไปไหน ทำไมสองคนยังไม่มา เกิดคำถามมากมายขึ้นเมื่อคนที่มาด้วยกันหายไปถึงสองคน นั่งรอสักพักก็ยังไม่มา เกิดคำถามจากผู้ร่วมทางมาเป็นระยะว่า “ทำไมคนที่เหลือยังมาไม่ถึง” รอต่ออีกสักพักได้ข้อสรุปว่า เราจะขับรถลงไปรอรับกลางทาง พอได้คำตอบแล้วทุกคนจึงเดินขึ้นรถกัน เด็ก ๆ โบกมือให้ พร้อมกับพูดเป็นภาษากะเหรี่ยง ข้าพเจ้าได้แต่โบกมือกลับแล้วยิ้มให้ จากนั้นรถตู้ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากที่จอด เด็ก ๆ วิ่งตามหลังรถลงมา แล้วก็ค่อย ๆ เดินแยกกันไปคนละทิศคนละทาง รถตู้ลงมาจากเนินเจอกับ ๒ คนที่เหลือ จึงแวะรับและร่ำลาไกด์แห่งหมู่บ้านห้วยแห้งที่ชื่อมานพ จากนั้นรถตู้จึงเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้าน ถึงเวลากลับแล้วจริง ๆ


