รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์ภูมิพล ๔ ธันวาคม วันสิ่งแวดล้อมไทย

รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์ภูมิพล
๔ ธันวาคม วันสิ่งแวดล้อมไทย…จากพระอัจฉริยภาพเมื่อปี ๒๕๓๒

021259 0212591

       “…ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่มีความสำคัญควบคู่กับการพัฒนา ความเจริญก้าวหน้า ซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศ กล่าวคือการพัฒนายิ่งรุดหน้า ปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและภาวะมลพิษก็ยิ่งก่อตัว และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้…”

      พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ด้วยทรงห่วงใยในปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั้ง ดิน น้ำ อากาศ ป่าไม้ ที่นับวันจะเสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ

 จากพระราชดำรัสก่อเกิดวันสิ่งแวดล้อมไทย
     จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า ก่อนที่ประเทศไทยและทั่วโลกจะประสบวิกฤติปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเล็งเห็นการณ์ไกลและกล่าวเตือนสติให้พวกเราตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาก่อนล่วงหน้าเป็นเวลาหลายสิบปีและทำให้รัฐบาลกำหนดให้วันที่ ๔ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมไทย ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่พระราชทานแก่บุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันจันทร์ที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒

     “…ได้ข้อมูลมาเกี่ยวกับเรื่องเรื่องหนึ่งซึ่งเขาเดือดร้อนกันทั่วโลก คือความเดือดร้อนที่ทุกคนจะต้องประสบ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้รู้…เขาบอกว่าเพราะมีสารคาร์บอนไปในอากาศมาก จะทำให้เหมือนเป็นตู้กระจกครอบ แล้วโลกนี้ก็จะร้อนขึ้น…น้ำแข็งจะละลายลงทะเลและรวมทั้งน้ำในทะเลนั้นจะพองขึ้น เพราะสิ่งของที่ร้อนย่อมมีการพองขึ้น ปริมาตรก็มากขึ้น เมื่อน้ำพองขึ้นก็จะทำให้ที่ที่ต่ำเช่นกรุงเทพฯ ถูกน้ำทะเลท่วม…

      …สิ่งที่ทำให้คาร์บอน (ในรูปคาร์บอนไดออกไซด์) ในอากาศเพิ่มมากขึ้น มาจากการเผาเชื้อเพลิงซึ่งอยู่ในดินและจากการเผาไหม้…การเผาเชื้อเพลิง เช่น ถ่าน ถ่านหิน น้ำมัน เชื้อเพลิงอะไร ๆ ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้คาร์บอนขึ้นไปในอากาศจำนวน ๕ พันล้านตันต่อปี แล้วก็ยังมีการเผาทำลายป่าอีก ๑.๕ พันล้านตัน รวมแล้วเป็น ๖.๕ พันล้านตัน…ถ้าไม่มีอะไรที่จะทำให้จำนวนของสารนี้ในอากาศลดลง ก็จะทำให้สารนี้เป็นเหมือนตู้กระจกครอบ ทำให้โลกนี้ร้อนขึ้น…”

      หลังจากนั้นวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้วันที่ ๔ ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันสิ่งแวดล้อมไทย”

      นับเป็นพระพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพโดยแท้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่ครั้งเมื่อ ๒๗ ปีมาแล้ว ก่อนที่คนทั่วโลกจะหันมาสนใจเรื่องภาวะโลกร้อนกันอย่างจริงจัง โครงการพระราชดำริอันหลากหลายที่เกิดขึ้นล้วนเป็นแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนในทุก ๆ ด้าน

     ด้วยทรงห่วงใยสิ่งแวดล้อม มีหนึ่งเรื่องราวที่ถูกบันทึกจดจารไว้ให้ลูกหลานได้จดจำและพึงปฏิบัติ

ของมีค่าหายาก

      ปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เมื่อชาวอีสานทราบข่าวดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จฯ เยี่ยมอีสานเป็นเวลายาวนานถึง ๑๙ วัน ระหว่างวันที่ ๒ – ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวอีสานจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจเพียงใด

     เพราะอีสานเวลานั้นแห้งแล้งเหลือแสน ยังไม่มีอ่างเก็บน้ำชลประทานดังเช่นในปัจจุบัน เส้นทางรถยนต์ในยุคนั้นก็ยังเป็นดินแดง ทุรกันดาร น้ำพระราชหฤทัยที่แสดงออกด้วยการเจาะจงเสด็จฯ เยี่ยมอีสาน  จึงเป็นเสมือนน้ำฝนเย็นฉ่ำที่หยาดลงมาบนผืนดินที่แห้งผาก

     ยังไม่ทันที่พระองค์จะเสด็จฯ มาถึง น้ำพระทัยที่เย็นดุจสายฝนหยดแรกก็หยาดลงมาเสียแล้ว เมื่อมีข่าวว่า กรมทางหลวงเตรียมนำ “น้ำ” มาราดถนนทางเสด็จพระราชดำเนิน เพื่อมิให้ถนนเกิดฝุ่นแดงคลุ้งเมื่อรถพระที่นั่งแล่นผ่าน

     พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชกระแสรับสั่งห้ามว่า ไม่ให้นำน้ำซึ่งเป็นของมีค่าหายากมาราดถนนรับเสด็จ แต่ให้สงวนน้ำไว้ให้ราษฎรใช้อาบกิน

ร่วมกันรักษา พลิกฟื้น “แผ่นดินของเรา”

     การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้แผ่นดินของเรามีความอุดมสมบูรณ์ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เมือนที่เคยเป็นมาแต่อดีต ดังเช่นบทเพลงแผ่นดินของเรา ซึ่งเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๓๔ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๐๒ 

ถึงอยู่แคว้นใด                            ไม่สุขสำราญ

เหมือนอยู่บ้านเรา                        ชื่นฉ่ำค่ำเช้าสุขทวี

ทรัพย์จากผืนดิน                         สินจากนที

มีสิทธิ์เสรี                                   สันติครองเมือง

เรามีป่าไม้อยู่สมบูรณ์                   ไร่นาสดใสใต้ฟ้าเรือง

โบราณสถานส่งนามประเทือง       เกียรติเมืองไทยขจรไปทั่วแดนไกล

รักชาติของเรา                             ไว้เถิดผองไทย

ผืนแผ่นแหลมทอง                      รวมพี่รวมน้องด้วยกัน

รักเกียรติรักวงศ์                           เสริมส่งสัมพันธ์

ทูนเทิดเมืองไทยนั้นให้ยืนยง

ด้วยความซาบซึ้ง จงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ปวงข้าพระพุทธเจ้า สถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร

พรปวีณ์  ทองด้วง
นักประชาสัมพันธ์ สถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน
มหาวิทยาลัยนเรศวร
๑ ธันวาคม ๒๕๕๙

 ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ